รีวิวโดนใจ >> The Scarlett wine bar & Restaurant ชั้น 37 โรงแรมพูลแมน กรุงเทพ จี
The Scarlett wine bar & Restaurant (ห้องอาหารสการ์เล็ต) เป็นสถานที่ที่ออฟได้รับเกียรติให้ไปรีวิว โดยได้รับเชิญจากทางเว็บไซต์ OpenRice.com ให้ไปร่วมกัน แชะ ชิม แชร์ รีวิวความอร่อยของที่นี่ ซึ่งขอบอกว่าแทบจะไม่ต้องคิดเลย เพียงแค่เช็คตารางของวันนัดแล้วว่าไม่ติดอะไร ออฟก็ตกลงใจรับคำเชิญโดยทันทีค่า
บรรยากาศของห้องอาหาร The Scarlett wine bar & Restaurant
หลังจากที่นั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานีศาลาแดง และต่อรถแท็กซี่มายังหน้าโรงแรม ซึ่งเดิมเคยใช้ชื่อว่า “โรงแรมโซฟิเทลบางกอกสีลม” แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็น “โรงแรมพูลแมน กรุงเทพ จี ” เรียบร้อยแล้วค่ะ แต่เวลาบอกทางเค้าบอกเป็นชื่อเดิมแท็กซี่จะคุ้นกว่าหน่อยค่ะ เมื่อถึงแยกเดโชแล้ว ก็ลงจากรถแล้วเดินข้ามถนนมาอีกฝั่ง จากนั้นก็ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้น 37 ซึ่งเป็นที่นัดหมายค่า
เมื่อขึ้นมาถึงแล้วก็แอบตื่นเต้นนิดหน่อยค่ะ ทางเข้าจะมีพนักงานคอยต้อนรับอยู่แล้ว พอเดินเลี้ยวมาหน่อยก็จะเห็นคลังไวน์ในตู้กระจกเรียงดูสวยทีเดียวค่ะ
ด้านในของห้องอาหารสการ์เล็ตจะได้รับการตกแต่งในแนวดิบๆนิดหน่อยค่ะ ด้วยเพดานด้านบนไม่ติดวอลเปเปอร์ใดๆ แต่คงสีของปูนเอาไว้ ส่วนที่นั่งก็แบ่งออกเป็นหลายโซนทีเดียวค่ะ แต่ที่ชัดเจนคือแต่ละโต๊ะจะไม่ใกล้กันมากนัก ให้ความเป็นส่วนตัวของลูกค้าเอาไว้อย่างดีเลยทีเดียวค่ะ
ใครอยากจะชมทิวทัศน์ของกรุงเทพจากตึกระฟ้า ครั้งนี้ก็คงได้เห็นกันเต็มตาค่ะ เนื่องเดียวออฟมาในช่วงที่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน ดังนั้นแสงอ่อนๆก็สาดเข้ามาพอดีค่ะ ถ้ากลางคืนก็จะสุกไสวด้วยแสงสีในใจกลางเมืองไปอีกแบบ
คนที่อยากจะมารับลม ชิมไวน์นี่คิดว่าโดนใจแน่ๆค่ะ ส่วนข้างในนั้นทางร้านก็เปิดเพลงเบาๆ ให้นั่งคุยกันได้อย่างสบายๆกับกลุ่มเพื่อน หรือจะนั่งที่บาร์ก็ได้ค่ะ
เมนูของห้องอาหาร The Scarlett wine bar & Restaurant
เมนูอาหารส่วนใหญ่จะเป็นแนวฝรั่งเศสค่ะ มีให้เลือกหลายหลายอยู่ทีเดียว แต่ที่พิเศษคือเมนูเครื่องดื่มนี่เป็นอีกหน้านึงเลย เรียกได้ว่าเอาใจคอดื่มและสังสรรค์มากๆค่ะ
รายการอาหารที่ทานที่ห้องอาหาร The Scarlett wine bar & Restaurant
ครั้งนี้ที่มารีวิวนี้จะเป็นการลองทานอาหารจานหลัก 6 เมนู และของหวานอีก 5 เมนูค่ะ โดยทางร้านจะนำจานแบบขนาดที่เสิร์ฟกับลูกค้าปกติมาให้ถ่ายรูปกันก่อน และก็มีจานที่แบ่งมาพอดีทานให้อีกทีค่ะ เพราะขอบอกว่าอาหารเยอะมากๆ ถ้าให้ทานแบบเต็มๆ คิดว่าคงไม่รอดถึงเมนูที่ 3 ค่ะ
1.Sardines en Boite 410 บาท
เปิดตัวกันด้วยเมนูสบายๆ ที่คล้ายจะเป็นการหยอกเย้าจากเชฟอารมณ์ดีค่ะ เพราะถ้าใครมาเป็นก้อนขนมปังและปลาซาร์ดีนในกระป๋องคงไม่อยากจะเชื่อว่าเชฟจะเลือกมาให้ทานกัน
ชื่อภาษาอังกฤษของเมนูนี้คือ Spanish imported sardines, toast and salted butter ซึ่งเอาง่ายๆก็คือ ปลาซาดีนนำเข้าจากสเปน เสิร์ฟกับขนมปังปิ้ง และเนยเค็ม ซึ่งเมื่อถามเหตุผลจากเชฟก็เลยได้ความว่ามันเป็นเมนูที่อาจจะดูธรรมดาแต่มันไม่ธรรมดา ซึ่งเรียกได้ว่ามั่นใจในคุณภาพและรสชาติมากๆค่ะ
การทานนั้นก็ให้ทาเนยลงบนขนมปังก่อนแล้วจากนั้นก็เอาเนื้อปลาซาร์ดีนใส่ด้านบนค่ะ ตอนแรกที่ออฟเอามาวางเป็นตัวก็ดูงงๆ เหมือนกันค่ะ แต่พอเห็นพี่ในโต๊ะใช้ส้อมเขี่ยๆ ให้เนื้อแตกกระจายเต็มแผ่นขนมปังบ้างก็เลยทำตามค่ะ
รสชาติของเมนูนี้ ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีค่ะ ขนมปังกรอบกำลังดี เนยหอมนิดๆ แต่ไม่เด่นจนเกินไป และรสชาติของเนื้อปลาก็แน่นดีค่ะ
2.‘Oeuf poché en Meurette’ 360 บาท
เมนูต่อมาเป็นเมนูไข่ค่ะ มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Egg poached in Pinot Noir โดยเมนูนี้ถือเป็นอีกเมนูที่ต้องใช้ความพยายามของเชฟมากๆ เลยทีเดียวค่ะ หลังจากที่ได้ฟังกรรมวิธีการทำแล้วขอคารวะในความตั้งใจทำอาหารของเชฟมากๆ
ไข่ลวกในซอสไวน์แดง เมนูนี้ไม่ธรรมดาตั้งแต่เริ่มลวกไข่แล้วค่ะ เพราะเชฟใช้เวลาในการลวกไข่นานถึง 1 ชั่วโมง โดยใช้เทคนิคการคุมอุณหภูมิไว้ที่ 45 องศาค่ะ ส่วนน้ำซอสเองก็ไม่แพ้กัน ด้วยการนำซอสไวน์แดงจำนวน 12 ส่วนเคี่ยวจนให้เหลือเพียง 1 ส่วน จึงได้ซอสที่เข้มข้น และกลมกล่อมมาให้เราได้ทานกันค่ะ
ตอนที่เค้าเอามาเสิร์ฟให้ทานใส่จานเล็กมีไข่อยู่ตรงกลางนี่ทำเอาออฟคิดหนักอยู่เหมือนกันค่ะ ว่าจะทานท่าไหนดี เพราะด้วยความที่เป็นคนไม่ค่อยทานไข่แดงไม่สุก ก็เลยตัดสินใจกินคำเดียวไปเลยค่ะ อิอิ งานนี้เต็มปากกันไปเลย แต่ด้วยไข่นุ่มๆ และให้สัมผัสนิ่มๆ เรียกได้ว่าแทบไม่ต้องเคี้ยวกันเลยค่ะ และตัวซอสก็เข้มข้นดีมาเติมรสชาติให้ไข่ได้เป็นอย่างดีทีเดียวค่ะ
3.‘Saint-Jacques d’Hokkaido’ 550 บาท
เมนูนี้มีชื่อGrilled Scallops, truffle dressing (หอยเชลล์ย่างเสิร์ฟพร้อมซิสเห็ดทรัฟเฟิล) จานที่มาเสิร์ฟดูอลังการดีค่ะ ด้วยการใช้จานสีขาวแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าจานยาวๆ แล้วนำหอยเชลล์มาเรียง และคั่นด้วยสลัดผัก
โดยตัวหอยเชลล์นี่เชฟเค้าอิมพอร์ตเข้ามาจากสวิสเซอร์แลนด์เลยค่ะ แถมเวลาเสิร์ฟให้ทานเป็นคนนั้นจะมีแผ่นที่คล้ายเบคอนทอดโปะมาด้านบนด้วยค่ะ เพิ่มความกรอบ ตัดกับเนื้อหอยเชลล์ที่ให้ความเหนียวนุ่มดีทีเดียว ออฟคิดว่าเวลาทานต้องทานคู่กับสลัดด้วยนะคะ จะได้รู้สึกไม่เค็มจนเกินไป
4.‘Quenelle de brochet gratinée’
มาถึงเมนูปลากันบ้างค่ะ โดยเมนูนี้มีชื่อว่า River Pike fish dumpling, Chardonnay sauce (ปลาไพก์เสิร์ฟในครีมซอสไวน์ขาว) โดยตอนที่มาเสิร์ฟก็คิดว่าเหมือนเต้าหู้มากๆค่ะ แต่พอมาบอกว่าเป็นปลาก็ยิ่งงงใหญ่เลย โดยเมนูนี้เป็นการขูดเนื้อปลาไพค์ แล้วเอามาใส่หลอด จากนั้นเอาไปนึ่งก่อน แล้วนำมาอบตอนท้าย โดยใช้ไฟบน
ออฟชอบสัมผัสตอนที่ทานด้านบนนะคะมันจะกรอบๆดี ตรงที่น้ำตาลถูกอบแล้วเกรียมนิดๆ จริงๆ เมนูนี้ถ้าไม่บอกว่าเป็นปลาก็แทบจะไม่รู้เลยด้วยค่ะ แต่การตแต่งจานดูจืดไปหน่อย น่าจะมีใบอะไรมาโรยด้านบนให้สีตัดกันหน่อยค่ะ
5.‘Cote d’agneau rotie au beurre
เมนู pomme fondante’ (Roasted rack of lamb, butter braised potatoes : ซี่โครงแกะย่าง เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งอบเนย) เป็นอีกเมนูนึงที่อาจจะหาทานได้ไม่บ่อยนักค่ะ เพราะว่าอาหารที่ทำจากแกะในบ้านเรานั้น ถ้าไม่ตั้งใจไปทานกันจริงๆ ร้านทั่วๆ ไปก็อาจจะหาสั่งไม่ได้
เมนูนี้จะถูกใจหรือไม่นั้น ขึ้นกับว่าคุณจะรับกลิ่นคาวเล็กq ของแกะที่แฝงมากับเนื้อมันได้ไหม จริงๆ แล้วสายทานเนื้ออย่างออฟค่อนข้างมันใจเลยว่าไม่มีปัญหาเรื่องนี้แน่ๆ และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ค่ะ เพราะรสชาติที่เค้าว่ากันว่าแกะจะคาวกว่าหน่อย นี่ออฟทานได้ปกติมากๆ แต่ถ้าใครอยากจะเริ่มลองทานแกะละก็ ที่นี่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีในการมาลิ้มลองรสชาตินะคะ
จานนี้มีซี่โครงแกะย่าง เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งอบเนย โดยเชฟจะใช้เนื้อหัวไหล่ของแกะและสันในมาปรุงรสให้เราทานค่ะ โดยการทานนั้นจะต้องทานเนื้อทั้งสองส่วนไปพร้อมๆ กัน เพราะผิวสัมผัสของเนื้อทั้งสองจะมาเสริมดุลกันค่ะ โดยเนื้อสันใจจะนุ่มกว่าหน่อย และเนื้อหัวไหล่จะคล้ายกับเนื้อตุ๋นค่ะ
สำหรับการเสิร์ฟในครั้งนี้เนื้ออาจจะสุกไปหน่อยสำหรับคุณผู้ชายทั้งหลาย แต่ออฟว่าสำหรับสาวๆ แล้วถือว่ากำลังดีค่ะ เพราะว่าผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะไม่ทานเนื้อที่ยังแดงๆอยู่ แต่ถ้าอยากได้ระดับการสุกแบบไหนก็สามารถแจ้งทางร้านได้เลยนะคะ
6.Combinaison de ‘Filet et de joue boeuf’
เมนูที่ถือได้ว่าเป็นเมนู Signature ของทางร้านก็คือ Pan seared beef tenderloin, 16 hours braised beef cheek (เนื้อสันในย่าง เสิร์ฟกับแก้มวัววากิลตุ๋น 16ชม.) ค่ะ เมนูนี้จัดเต็มมาทั้งราคาและรสชาติกันเลยทีเดียว ซึ่งโดนใจคอเนื้ออย่างออฟมากๆค่ะ
โดยเมนูนี้จะเป็นการนำเนื้อวันในส่วนของแก้มและสันในมาตุ๋น 16 ชั่วโมง เรียกได้ว่าไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเนื้อจะนุ่มขนาดไหน ซึ่งถ้าคนไม่รู้ทานเนื้อสองชิ่นนี้แยกกันจะรู้สึกว่าเนื้อส่วนแก้มมันเหลวไปหน่อยนะคะ แต่เชฟก็ใจดีมาสอนการทานที่จะทำให้เราได้รับรสชาติสุดยอดของเมนูนี้ด้วยการบอกให้เราทานเนื้อทั้งสองพร้อมกันเลยค่ะ ซึ่งจะพบว่าความนุ่มของเนื้อส่วนแก้มและเนื้อสันในมันเข้ากันมากๆ จริงๆ อยากจะบอกว่าเนื้อส่วนแก้มนี่ไม่ต้องเคี้ยวเลยด้วยซ้ำค่ะ นุ่มจริงๆ
รายการของหวานที่ทานที่ห้องอาหาร The Scarlett wine bar & Restaurant
1.Grand Marnier ‘Soufflé’ (กรองด์ แมร์นิเย่ร์ ซูเฟล่)
เมนูของหวานอย่างซูเฟล่ ซึ่งเป็นของหวานสัญชาติฝรั่งเศสที่มีจุดเด่นเป็นเนื้อเค้กที่เบาและนุ่มฟู คล้ายกับขนมไข่ของบ้านเรา แต่เนื้อเค้กมันจะเบาๆ กว่านั้นค่ะ
โดยซูเฟล่ของที่นี่ก็นุ่มโดนใจทีเดียวค่ะ กลิ่นหอมของไข่เตะจมูกเพิ่มความน่าทานเข้าไปอีก ด้านบนโรยด้วยน้ำตาลไอซิ่งเพิ่มความหวานเล็กๆด้วยค่ะ
2.Granny Smith Apple Tart (ทาร์ตแอ๊ปเปิลแกรนนี่ สมิธ)
ทาร์ตแอ๊ปเปิลเป็นเมนูของหวานที่ออฟชอบมากที่สุดค่ะ ตัวเนื้อทาร์ตจะมีเนื้อแอปเปิ้ลหั่นเล็กอยู่ด้วย ทานคู่กับไอศรีมวานิลาเย็นๆเข้ากันดีจริงๆ ค่ะ รสชาติที่ได้จะเป็นเปรี้ยวอมหวานนิดๆค่ะ เนื้อทาร์ตไม่หนามากดังนั้นทานแล้วจะรู้สึกไม่แน่นมากค่ะ
3.Rum Baba (รัม บาบา)
รัม บาบาเป็นเมนูของหวานที่เสริฟแล้วดูน่ารักๆ ด้วยลักษณะคล้ายกับเค้กกล้วยหอมที่ถูกอบจนโตในถ้วย และด้านล่างก็คล้ายกับน้ำไซรัปเพิ่มความหวานค่ะ เรียกได้ว่าเมนูรัม บาบา เป็นเมนูที่คนทานจะรู้สึกว่าคล้ายโดนหยอกล้อเล็กๆ จากเชฟเลยทีเดียวค่ะ ขอเตือนคนที่ไม่ทานแอลกอฮอล์ทั้งหลายว่าไม่ควรสั่งเมนูนี้นะคะ เพราะอะไรใช่ไหมคะ เพราะน้ำที่อยู่ด้านล่างที่หลายๆ คนคิดว่าอาจจะเป็นน้ำหวานนั้นเป็นเหล้ารัมค่ะ ถึงดีกรีจะไม่สูงมากนัก แต่ทานคู่กับของหวานอย่างขนมปังที่ซึบซับรัมเข้าไปจนพองโดขนาดนี้แล้วก็อาจจะล้มได้เหมือนกันค่า เมนูนี้ออฟก็เลยทานได้คำเดียวค่า
4.Mille Feuille ‘Grands Augustins’ (มิลเฟย กรองด์ โตกุสตังน์)
มิลเฟยเป็นอีกเมนูนึงที่ออฟชอบมากคำ คำว่า “มิลเฟย” นั้นแปลว่า “พันชั้น” ซึ่งก็เปรียบได้กับแป้งที่บางแสนบางมากๆ ซึ่งเชฟก็มีเทคนิคในการรีดแป้งถึง 6 ครั้งค่ะ เวลาทานคู่กับครีมและราดด้วยซอสวานิลลาด้วยนี่ขอบอกว่าอร่อยมากๆค่ะ ก้อนสีขาวๆระหว่างชั้นตอนแรกนึกว่าเป็นขนมเลดี้ฟิงเกอร์ค่ะ แต่จริงๆ แล้วเป็็นครีมวานิลาเนื้อเข้มข้นกลมกล่อมค่ะ
5.Chocolate Fondant (ช๊อคโกแล็ต ฟองดองท์)
ช๊อคโกแล็ต ฟองดองท์ดูจะเป็นเมนูที่หลายๆ คนคุ้นเคยมากที่สุดค่ะ เพราะช๊อคโกแล็ต ฟองดองท์ ก็คือช็อคโกแลตลาวาที่หลายๆ คนคุ้นเคยนั่นเองค่ะ ตัวช็อกโกแตเมื่อตัดออกจะมีลาวาที่หวานนุ่มไหลออกมา ทานคู่กับไอศกรีมวานิลาเย็นๆ ให้รสชาติมาเติมเต็มกับช็อคโกแลตอุ่นก็เข้ากันดีมากค่า
บทสรุปจากการทานที่ห้องอาหาร The Scarlett wine bar & Restaurant
- ครั้งนี้ต้องขอขอบคุณทางเว็บไซต์ Openrice.com ที่เชิญให้ไปร่วมชิมและได้ทำความรู้สึกกับบล็อกเกอร์ท่านอื่นๆนะคะ สนุกมากๆค่า
- อาหารของที่นี่เรียกได้ว่ามีระดับด้วยฝีมือของเชฟและยังมีบรรยากาศของโรงแรมมาเพิ่มความอร่อยให้เยอะขึ้นไปอีก
- ราคาอาหารก็เป็นราคาตามโรงแรมที่อาจจะไม่ได้มาทานบ่อยนัก แต่รสชาติและคุณภาพที่ได้ก็คุ้มราคาค่ะ
- กิจกรรม Exclusive OpenRicer เมื่อวันที่ 26 เม.ย 2555 http://th.openrice.com/
Bangkok/restaurant/article/ detail.htm?article_id=906
Gallery จากห้องอาหาร The Scarlett wine bar & Restaurant
ข้อมูลทั่วไปของห้องอาหาร The Scarlett wine bar & Restaurant
สถานที่ตั้ง :188 อาคาร ชั้น 37 โรงแรมโซฟิเทล กรุงเทพ สีลม ถนนสีลม แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
เบอร์โทรศัพท์ : 022381991
เบอร์แฟกซ์ : 022381988
อีเมล์ : h3616-CO3@sofitel.com
เว็บไซต์ : http://www.facebook.com/scarlettwinebarbangkok
วันและเวลาเปิดปิดทำการ : เปิดทุกวัน เวลา 18.00 - 01.00 น.
การเดินทาง : จากถนนสีลม มุ่งหน้ามาทางโรงแรมโซฟิเทล กรุงเทพ สีลม ห้องอาหาร สการ์เล็ตไวน์บาร์ จะอยู่ชั้น 37 โรงแรมโซฟิเทลฯ
ที่จอดรถ : บริเวณภายในโรงแรมโซฟิเทล กรุงเทพ สีลม
ดูรายละเอียดใน openrice : http://th.openrice.com/Bangkok/restaurant/sr2.htm?shopid=373691
Leave a comment