โดนใจไปญี่ปุ่น >> Day 8 Kyoto – วัดทอง (Kinkakuji ) – ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ – วัดคิโยมิซุ
nb
วันนี้เป็นวันเที่ยวเมืองเกียวโตค่ะ โดยหลักๆ ที่จะไปคือ วัดทอง (Kinkakuji ) – ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ – วัดคิโยมิซุ โดยการเดินทางจะใช้บัตร Kansai Thru Pass เป็นหลักค่า ใครกำลังมองหา One Day Trip สำหรับเที่ยวเกียวโต ก็ลองไปเที่ยวตามกันได้เลยนะคะ
รู้จัก Kansai Thru Pass กันหน่อย
- 2 Days 4,000 Yen , 3 Days 5,200 Yen.
- ใช้ได้กับรถไฟเอกชน 40 บริษัท รถโดยสารได้ที่เขตคันไซ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้กับรถไฟใต้ดิน และรถเมล์ของอำเภอ Osaka&Kyoto&Kobeได้ รวมถึงรถไฟด่วนของเอกชน สายKeihan สายHanshin สายHankyu สายSanyo ถ้าเป็นรถไฟด่วนKintetsu และสายNankaiต้องเสียค่าจองที่นั่งเพิ่ม แต่นั่งJR และชินคันเซน รวมถีง Highway Bus, Limousine Bus ไม่ได้
- ครั้งนี้ออฟซื้อที่โรงแรม Hearton Hotel Shinsaibashi ที่ออฟพักเลยค่า
- ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.surutto.com/tickets/kansai_thru_english.html
อาหารเช้า ร้าน St.Marc cafeใต้สถานี umeda
ก่อนจะเริ่มเดินทางเนื่องจากออฟนัดเพื่อนเอาไว้ที่สถานี Umeda เลยแวะทานอาหารเช้าจากร้าน St.Marc cafe กันก่อนค่า ร้านนี้มีขนมปังและเครื่องดื่มหลายอย่างให้เลือก ที่สำคัญยังเปิดเช้ามากๆ และมีที่นั่งให้ด้วยค่ะ
เมนูที่สั่งนี่ก็จิ้มเอาจากตัวอย่างของเค้าค่ะ เพราะมีแต่ภาษาญี่ปุ่นทั้งนั้นเลย โดยเมนูที่นั่งจะเป็นขนมปังคล้ายกับครัวซอง ทานคู่กับถั่วแดงกวน ไอศกรีมวานิลา และวิปครีม ราดเมเปิ้ลไซรับอีกรอบ โดยจานนี้ราคา 480 เยนถือว่าโอเคอยู่ค่า
- ชื่อ : ร้าน St.Marc cafe
- ย่าน : Umeda (รถไฟใต้ดิน)
- บทสรุป : รสชาติโอเค สมราคาอยู่ค่ะ
- website : http://www.saint-marc-hd.com/cafe/
เดินทางไปเกียวโต
การเดินทางไปเกียวโตนั้นเนื่องจากมีบัตร Kansai Thru Pass ดังนั้นจึงจะใช้การนั่งรถไฟสาย Hankyu Arashiyama Line ลงสถานี Arashiyama (Hankyu) โดยไปขึ้นที่ สถานี Umeda ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีก็ถึงค่ะ
จากนั้นก็ขึ้นมานั่งรถ City Bus กันโดยสามารถใชับัตร Kansai Thru Pass สำหรับค่าโดยสารได้เลยค่ะ
ทาโกะยากิสไตล์เกียวโตหน้าวัดทอง
เมื่อลงรถแล้วก็เดินตามทางเพื่อมุ่งหน้าไปหาวัดทองค่ะ แต่ระหว่างทางนั้นมีร้านแวะพัก ก็เลยเติมพลังกันหน่อย ด้วยการลองทาโกะยากิสไตล์เกียวโตค่ะ มาในรูปแบบน้ำซุปเลยค่ะ ทานร้อนๆ อร่อยมากเหมือนกันค่ะ ถ้วยนึง 400 เยนค่ะ ได้ทั้งหมด 5 ลูก
- ชื่อ : ทาโกะยากินหน้าวัดทอง
- เมือง : เกียวโต
- การเดินทาง : ขึ้นรถประจำทางสาย 205 มาลงป้าย Kinkakujimichi หน้าวัดคินคะคุจิ
- บทสรุป : เป็นอีกเมนูที่ออฟว่าน่าลองนะคะ อร่อยแบบร้อนๆ คล่องคอ เข้ากับอากาศหนาวๆ ได้ดีเลยค่ะ
Kinkakuji Temple (วัดทอง)
ระหว่างทางที่เดินไปวัดนั้น ฝนก็เริ่มตกปรอยๆ ลงมาแล้วค่ะ อันนี้แนะนำให้เช็คอากาศก่อนเดินทางด้วยนะคะ วันนี้เค้าบอกว่าฝนตกแน่ เลยต้องพกร่มมาไว้ และมันก็ตกจริงๆ แต่ก็ไม่ทำให้นักท่องเที่ยวน้อยลงเลยค่ะ
ในวันฝนตกและมห
มุมที่ฮิตมากจะเป็นมุมด้านหน้าของวัดทองที่ให้เราเห็นตัววัดสะท้อนกับผิวน้ำได้ด้วยค่ะ อ้อ ก่อนจะเข้าต้องไปซื้อตั๋วก่อนด้วยนะคะ ตั๋วจะคล้ายกับยันต์ค่ะ ราคาคนละ 400 เยน
เมื่อเดินมาอีกฝั่งจะเห็นว่ามีคนรอถ่ายรูปเยอะมากๆ และร่มเยอะมากๆ
เมื่อถ่ายรูปเสร็จแล้ว จริงๆ เป้าหมายหลักของวัดนี้ก็แทบจะหมดลง ดังนั้นคนมาเที่ยววัดนี้อาจจะเที่ยวแบบชะโงกทัวร์ได้ในเวลาไม่เกิน 20 นาทีนะคะ แต่สำหรับกลุ่มออฟที่ไม่รีบมากนักก็คอยเก็บภาพบรรยากาศรอบๆ และแวะหาของประจำถิ่นกินไปเรื่อยๆค่า
มีที่ให้อธิษฐานและโยนเหรียญด้วยนะคะ แน่นอนว่าออฟไม่พลาดที่จะลองโยน เพื่อนๆ ให้เหรียญมาหลายอัน แต่ก็ไม่เข้าซักอัน เลยยอมไปค่ะ
ใครเป็นแฟน One-Piece ก็สามารถซื้อของที่ระลึกกลับไปได้นะคะ ดูน่ารักมากๆ เลยค่า
- ชื่อ : Kinkakuji Temple (วัดทอง)
- เมือง : เกียวโต
- ข้อมูลทั่วไป : วัดทอง (Golden Pavilion) เป็นวัดนิกายเซน มีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่าโรคุองจิ (Rokuonji) ในตอนแรกนั้นสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่อาศัยของโชกุนอะชิคากะ (Ashikaga Yoshimitsu) และเปลี่ยนมาเป็นวัดนิกายเซนในภายหลัง หลังจากที่โชกุนได้เสียชีวิตลงแล้ววัดทอง คินคะคุจิ เสียหายจากไฟไหม้ในช่วงสงครามมาหลายครั้ง แต่ก็มีการสร้างใหม่ตลอด ไฟไหม้ครั้งล่าสุดในปี ค.ศ. 1950 จากฝีมือของพระที่คลั่งในความงามของวัดทอง จนต้องการเผาตัวเองไปพร้อมกับวัด ตัววัดที่เห็นในปัจจุบันสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1955
- การเดินทาง : ขึ้นรถประจำทางสาย 205 มาลงป้าย Kinkakujimichi หน้าวัดคินคะคุจิ
- ค่าเข้า400บาท
- บทสรุป : ถ้าฝนไม่ตกจะเยี่ยมมาก วัดสวยดี แต่คนเยอะ ร่มแยะไปหน่อย เลยไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ค่ะ
เดินทางไปศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ
เที่ยวต่อกันเลยค่ะ ต่อไปเป็นการไปเที่ยว ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ กันต่อ โดยเราจะต้องนั่งรถบัส สาย 102 ไปลงรถไฟสาย Keihan Main แล้วนั่งรถไฟไปลงที่สถานี Fushimi Inari
ข้าวหน้าปลาไหลร้าน Nezameya หน้าทางเข้าศาลเจ้าฟูชิมิอิ นาริ
เป้าหมายแรกก่อนการเข้าไปเที่ยวที่ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ คือการกินข้าวหน้าปลาไหลค่ะ ร้าน Nezameya เป็นร้านที่หาไม่ยากเลยค่ะ หน้าร้านจะมีการย่างปลาไหลให้เราดูด้วย การันตีว่ามาถูกร้านแน่นอน
ปลาไหลชิ้นใหญ่มากๆ เลยค่ะ จะย่างบนเตาที่หนังจะไหม้หน่อยๆ แต่เนื้อข้างในแห้งกำลังดีทีเดียว
เมนูของเค้าให้ดูรูปเอาเลยนะคะ โดยหลักๆก็จะเป็นข้าวกับปลาไหลนั่นแหละค่า
เซตที่สั่งกันเป็นเซตข้าวหน้าปลาไหล พร้อมน้ำซุปราคา 1,860 เยน ค่ะ
หลังจากได้ทานพบว่ารสชาติไหม้ๆ ติดหนังปลาเยอะทีเดียวค่ะ คิดว่าที่นี่คงชอบกินกันแบบนี้ แต่ตัวออฟเองไม่ค่อยชอบใจความไหม้เท่าไหร่ รวมๆ กินกับข้าวก็โอเคอยู่ค่ะ แต่ไม่ได้ถูกใจมากๆ
- ชื่อ : ร้านข้าวหน้าปลาไหล Nezameya
- เมือง : เกียวโต
- การเดินทาง : ทางเดียวกับการมา ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ
- บทสรุป : ข้าวหน้าปลาไหลเซตนึง 1,860 เยน ถือว่าไม่ถูก แต่ก็ไม่แพงมากนัก รสชาติโดยรวมไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ แต่ไม่แย่มาก
เที่ยวศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ
ทางเดินขึ้นจะมีร้านของกินอยู่ข้างทางนะคะ แวะซื้อกันได้ รสชาตินี่เสี่ยงดวงเอากันนะคะ แต่ร้านที่ออฟลองนี่เป็นร้านขนมปลามีไส้ตรงกลางค่ะ ชิ้นละ 150 เยน
ผลปรากฎว่าลองแล้วไม่เวิร์คค่ะ ไม่อร่อยเลย แป้งแห้ง ไส้ก็เย็นด้วย ไม่ผ่านจริงๆ
เมื่ออิ่มท้องแล้วก็เดินมุ่งหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะเจอทางเข้าศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ
ไปถึงแล้วก็ไปชำระล้างกันก่อนเลยค่ะ เค้าจะมีป้ายบอกไว้ว่าให้เราทำยังไงกันบ้าง อ่านไม่ออกก็ดูรูปเอาได้เลยค่ะ
จากนั้นก็เดินขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อลอดอุโมงค์เสาโทริอิ กว่าหมื่นต้น เตรียมหามุมถ่ายรูปกันดีๆ ได้เลยค่ะ ต้องชิงจังหวะกันใช้ได้เพราะว่าคนจะเดินมาเป็นระยะๆ ดังนั้นแนะนำว่าให้เดินเข้าไปลึกหน่อยจะทำให้ถ่ายรูปง่ายขึ้นนะคะ เพราะว่าคนเริ่มเดินเข้ามาลึกๆ น้อยลงแล้ว
ที่ศาลเจ้าแห่งนี้มีสุนัขจิ้งจอกเป็นสัญลักษณ์ โดยมีความเชื่อว่า สุนัขจิ้งจอกเป็นผู้รับสาส์นจากเทพเจ้าดังนั้นเค้าก็เลยมีการเขียนขอพรกันเต็มเลยค่า แต่ละคนวาดรูปสุนัขจิ้งจอกกันได้สวยมากๆ เลย
เค้าว่าถ้าจะเดินจนสุดทางไปกลับนี่ใช้เวลาสองชั่วโมงเลยทีเดียว ดังนั้นออฟก็เลยตัดสินใจว่าเดินเก็บรูปให้ได้รูปสวยๆ หน่อยก็พอค่ะ เลยใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
- ชื่อ : ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ
- เมือง : เกียวโต
- ข้อมูลทั่วไป : ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ (Fushimi Inari Shrine) หรือที่บางคนเรียกกันว่าศาลเจ้าเสาแดง สุนัขจิ้งจอก ศาลเจ้านี้เป็นศาลเจ้าของศาสนาชินโต สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 794 การจะเข้าไปถึงตัวศาลเจ้าด้านในต้องผ่านเสาโทริอิสีแดงนับพันต้น ที่ด้านหน้าจะศาลเจ้าจะมีรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกซึ่งถือว่าเป็นผู้ส่งสารของเทพเจ้า
- การเดินทาง : นั่งรถไฟมาลงที่สถานี JR Inari หรือ สถานี Fushimi Inari ของรถไฟ Keihan Main Line
เที่ยววัดคิโยมิซุ (วัดน้ำใส)
มาต่อกันที่วัดน้ำใสหรือวันคิโยมิซุนะคะ ที่นี่จะมีคนแต่งชุดกิโมโนขึ้นไปเยอะมากๆเลย มาทั้งเป็นกลุ่มสาวๆ และแบบคู่รัก เล่นเอาอยากลองบ้างเลย
ขึ้นมาแล้วก็ไปซื้อตั๋วเข้าวัดกันก่อนเลยนะคะ
ตั๋วจะเป็นที่คั่นหนังสือค่ะ ค่าเข้าคนละ 300 เยนค่ะ
ทางเข้าช่วงแรกจะมีการเสี่ยงทายกันก่อน แบบว่าให้อธิษฐานแล้วยกค่ะ แต่หนักมากจริงๆ ยกไม่ขึ้นเลย ยิ่งของผู้ชายนี่ใหญ่มากๆ
ส่วนใหญ่แล้วคนที่มาที่นี่จะมาไหว้พระกันค่ะ มุมนี้จะเป็นมุมฮิตเลย ที่เราจะได้ถ่ายรูป อาคารหลักของวัดคิโยมิซึในส่วนของระเบียงขนาดใหญ่สูง 13 เมตร มีเสาไม้กว่าร้อยต้นรองรับ โดยเค้าสร้างยื่นออกจากด้านข้างของเนินเขา ซึ่งจากระเบียงนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองเกียวโตได้
โซนนี้จะเป็นอีกโซนที่มีนักท่องเที่ยวมาเข้าคิวดื่มน้ำจากแม่น้ำสามสาย ที่เป็นน้ำซับธรรมชาติไหลลงมาจากยอดเขามานานนับพันปีแล้ว โดยมีความเชื่อว่า
น้ำสายที่ 1 ถ้าใครได้ดื่มจะประสบความสำเร็จด้านการศึกษา
น้ำสายที่ 2 จะสมหวังในความรัก
น้ำสายที่ 3 จะมีสุขภาพแข็งแรง
- ชื่อ : วัดคิโยมิซุ (วัดน้ำใส)
- เมือง : เกียวโต
- ค่าเข้า : 300 เยน
- ข้อมูลทั่วไป :วัดคิโยมิซุ (Kiyomizu Temple) เป็นชื่อในภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่า “น้ำบริสุทธิ์” คนไทยมักจะเรียกวัดนี้ว่า “วัดน้ำใส” วัดนี้เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากในเกียวโต และได้เป็นหนึ่งในมรดกโลกด้วย สิ่งก่อสร้างที่สำคัญของวัดนี้อยู่ที่ศาลาไม้ที่ตั้งอยู่บนเนินเขา และรองรับด้วยเสาไม้ขนาดใหญ่จำนวนร้อยกว่าต้น เมื่อมองจากศาลาไม้ลงไปที่ด้านล่างจะเห็นต้นเมเปิ้ลเปลี่ยนสีเป็นสีแดงในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี และเห็นซากุระในช่วงซากุระบานวัดคิโยมิซุ เป็นวัดพุทธนิกายหนึ่ง วัดแห่งนี้เริ่มสร้างในปี ค.ศ. 798 แต่ศาลาไม้ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาที่เห็นอยู่ในปัจจุบันสร้างขึ้นทีหลังในปี ค.ศ. 1633 ส่วนสาเหตที่คนไทยเรียกวัดนี้ว่าวัดน้ำใส เนื่องจากว่าวัดนี้มีน้ำที่ใสบริสุทธิ์อยู่ 3 สายไหลลงมาจากน้ำตกโอตาวะ ให้นักท่องเที่ยวได้ตักดื่ม หรือ ล้างหน้า
- การเดินทาง : สายรถเมลล์ที่ผ่านมี 100,202,206,207 นั่งมาลงที่ป้าย Kiyomizu-Michi แล้วเดินเข้าไปตามทางที่ปูด้วยหินจะเจอร้านค้ามากมายอยู่สองข้างทาง และปลายทางจะเป็นทางเข้าวัด
เดินเล่นย่านกิออน
ก่อนจะนั่งรถกลับก็มาเดินเล่นย่านกิออนกันหน่อยค่ะ ช่วงเย็นๆหน่อยจะเริ่มอากาศหนาวๆ แล้ว โดยก็มีร้านค้าเปิดตามทางเยอะเลยค่ะ
ในย่านนี้อาคารบ้านเรือนจะเป็นอาคารไม้แบบดั้งเดิม จริงๆก็เดินถ่ายรูปแบบเดียวเองค่ะ เพราะไม่ค่อยมีอะไรมากนัก
ร้านของหวานที่มีคนต่อคิวยาวมาก ถ้าต้องการนั่งในร้าน แต่ถ้าซื้อกินจะไม่ยาวมากค่ะ ร้านนี้คือร้าน Ujicha Gion Tsujiri โดดเด่นเรื่องไอศกรีมชาเขียวค่ะ รสชาติเค้าจะเข้มข้นมากทีเดียว ถ้วยนึงประมาณ 370 เยนค่ะ
- ชื่อ : ย่านกิออน
- เมือง : เกียวโต
- ข้อมูลทั่วไป : กิออน – ราตรีแห่งเกียวโต ย่านเกอิชาชื่อดัง ย่านนี้อยู่ใกล้ๆกับศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka Shrine) และแม่น้ำคาโมะ (Kamo River) ถนนเส้นหลักจะเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านดื่มชาและร้านอาหารมากมาย ซึ่งแต่ละร้านก็จะการแสดงโชว์จากเกอิโกะ (geiko) และ ไมโกะ (maiko) ซึ่งสวยงามและเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก
- การเดินทาง : รถบัส: เดิน 5 นาที จาก Gion bus stop [รถบัสสาย 100, 206]
รถไฟ: เดิน 5 นาที จาก Gion Shijo Station [Keihan Line]
รถไฟ: จาก 10-15 นาที จาก Kawaramachi Station [Hankyu Line
กินข้าวเย็นที่ Mitsuya
มื้อเย็นของวันเดินเลือกกันอยู่นานค่ะ เพราะสถานีรถไฟอุเมดะมีร้านอาหารเยอะมากๆ กว่าจะมาได้ร้านนี้ก็ใช้เวลาวนกันหลายรอบเหมือนกัน ที่เลือกร้านนี้เพราะดูจะมีเมนูหลากหลาย และราคาไม่แพงมากนักค่ะ
เข้ามาด้านในแล้วก็พบว่าเค้าจัดร้านได้โอเคดี เพดานสูงดีค่ะ
อาหารที่ทานนั้นเลือกสั่งกันเป็นเมนูจานคู่ค่ะ
โดยเมนูนี้เค้าจะมีสองจานให้เราเลือกว่าจะทานอะไรบ้าง ก็จับคู่กันตามใจชอบเลยค่า
สปาเก็ตตี้
สเต็กก็รสชาติใช้ได้ ชิ้นใหญ่กำลังดี เข้ากันกับซอส และของทอดที่มาคู่กันค่ะ
ราคาต่อคนประมาณ 1000 กว่าเยนนิดๆ แต่ปริมาณคุ้มค่ามากค่ะ
- ชื่อ : Mitsuya
- เมือง : โอซาก้า, ย่าน : Umeda (รถไฟใต้ดิน)
- website : http://www.mitsuya.co.jp/
- บทสรุป : ร้านนี้รสชาติโอเค ปริมาณมาเต็ม คุ้มราคา มีหลายเมนูให้เลือกดีค่ะ
วาฟเฟิลที่ร้าน Manneken
ก่อนจะกลับแวะซื้อวาฟเฟิลที่ร้าน Manneken (แมนเนเกน) ซึ่งเป็นวาฟเฟิลสัญชาติเบลเยี่ยมที่มีกลิ่นหอม และการัตีความอร่อยด้วยการมีคิวยาวคอยซื้ออยู่ตลอด
มีวาเฟิลหลายรสทั้งรสดั้งเดิม ช็อกโกแลต เมเปิ้ล อัลมอนด์ และรสพิเศษ โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ชิ้นละ 120 เยน (ยังไม่รวม vat)ค่ะ
เมื่อถึงคิวแล้วก็จิ้มเลยค่ะว่าอยากจะลองเมนูไหน ครั้งนี้ที่ออฟลองซื้อมาเป็นเมนู Maple 151 เยน อันนี้จะออกแนววาฟเฟิลกรอบๆ มีกลิ่นเมเปิ้ลเล็กน้อย ทานแล้วจะหวานหน่อยค่ะ
อีกอันเป็นรส Butter Caramel 172 เยน อันนี้ด้านบนจะมีคาราเมลเคลือบอยู่ด้วย หวานกว่าอันแรกอยู่หน่อย แต่ก็อร่อยไปอีกแบค่ะ
ใบเสร็จจากทางร้าน
- ชื่อ : ร้านวาฟเฟิล Manneken
- เมือง : โอซาก้า
- ข้อมูลทั่วไป : ร้านวาฟเฟิลสัญชาติเบลเยี่ยมหอมกรุ่นจากเตา ที่มีคนมาต่อคิวยาวมากๆ วาฟเฟิลมีหลายรสทั้งรสดั้งเดิม ช็อกโกแลต เมเปิ้ล อัลมอนด์ และรสพิเศษ
- website : www.manneken.co.jp
- บทสรุป : รสชาติวาฟเฟิล์อร่อยดีค่ะ กรอบหน่อยๆ และหวานกำลังดี จุดเด่นคือความหอมของวาฟเฟิลค่ะ
Leave a comment