รีวิวโดนใจ >> Whale’s Belly กับเมนู THE WINNING MENU จาก Champion IRON CHEF
ใครจะคิดคะว่าวันนี้จะมีโอกาสได้มาชิมฝีมือจากเชฟระดับ IRON CHEF Champion โดยวันนี้เชฟใหม่ อภิรวิต ชาวโพธิ์เอน ซึ่งเป็น ผู้ชนะการแข่งขันรายการเชฟกระทะเหล็ก วันที่ 9 เม.ย. 2557 โดยวันนี้ได้รับเชิญจากทางร้าน Whale’s Belly ซึ่งเชฟประจำอยู่ที่นี่ แบบนี้ไม่รีบรับปากยังไงไหวใช่ไหมคะ ^ ^
บรรยากาศของร้านWhale’s Belly
การเดินทางมาร้าน Whale’s Belly นั้นครั้งนี้ไผ่ขับรถมาค่ะ แต่ถ้ามารถไฟฟ้าก็สามารถลงสถานีพร้อมพงษ์ได้นะคะ เมื่อมาถึงทางร้านแล้ว ก็ให้ขึ้นไปที่ชั้น 2 เลยค่ะ มีลิฟต์พาขึ้นไป พอลิฟต์จอดเปิดประตูมาก็เจอร้านอยู่ทางขวามือเลยค่ะ
ด้านในร้านตกแต่งสไตล์เรียบหรู โต๊ะทุกตัววางอุปกรณ์การทานอาหารไว้อย่างครบชุด โต๊ะและเก้าอี้ก็จัดอย่างสวยหรู เหมาะกับการมาเดต หรือเฉลิมฉลองกันมากๆค่ะ ครั้งนี้ไดมาทานฝีมือเชฟมือหนึ่งของร้าน ก็ถือว่าเป็นการเฉลิมฉลองได้แหละเนอะ 555
เมนูของร้านWhale’s Belly
วันนี้จะมาทาน 4 เมนูที่เชฟทำในการแข่งขันเชฟกระทะเหล็กแห่งประเทศไทยกันนะคะ
Welcome Menu ของร้านWhale’s Belly
เมื่อมาถึงแล้วทางร้านจะมี Welcome Drink ให้ก่อนเลยค่ะ โดยวันนี้เป็นเมนู Fruit Punch ทานแล้วสดชื่นดีค่ะ โดยเมนูเครื่องดื่มนี้ทางร้านจะเปลี่ยนทุกวันนะคะ มาลุ้นความสดชื่นกันเองได้เลยค่า
สำหรับขนมปังนี่ วางมาแล้วแอบเหวอเล็กน้อยค่ะ ถึงพอจะคุ้นกับขนมปังสีดำมาบ้าง แต่อันนี้เค้าดำจริงจัง แถมแป้งด้านนอกก็ดูกรอบสไตล์ฝรั่งเศส แค่คิดว่าจะกัดก็กลัวฟันหักแล้วค่ะ จานนี้เสิร์ฟมาพร้อมกับเนยและตับบดนะคะ เมื่อตัดใจลองทานแล้วพบว่าอร่อยมากเลยค่ะ ด้านในแป้งนุ่มดี และด้านนอกก็ไม่ได้แข็งแห้งขนาดที่คิดค่ะ คงเพราะเปลือกนอกเค้ากรอบและบางก็เลยไม่แข็งมากค่ะ ทานแล้วหนึบหนับดีทีเดียวเพราะมีเม็ดทานตะวันผสมอยู่ด้วย เป็นขนมปังลูกครึ่งญึ่ปุ่น-ฝรั่งเศสที่ลงตัวทีเดียวค่ะ เห็นก้อนใหญ่แบบนี้ไม่ต้องกลัวนะคะ เพราะเค้าจะเสิร์ฟ 2 คนต่อ 1 ก้อนค่า
รายการอาหารในเซต THE WINNING MENU
เนื่องด้วยในการแข่งขันเชฟกระทะเหล็กแห่งประเทศไทย เชฟไปความชัยชนะมาด้วยโจทย์ “Yellowfin Tuna” ดังนั้นเมนูเซตนี้จะเป็นการนำปลาทูน่ามาประกอบอาหารหลายสไตล์ให้เราได้ทานกันค่ะ
1st Dish : UNIQUE TUNA TARTARE 520.-
เมนูแรกที่เริ่มทานกันดูกระจุก กระจิกมากค่ะ เมนูนี้เป็นเมนูเปิดแบบเบาๆ โดยเชฟนำเนื้อปลาทูน่าดิบมาคลุกเคล้ากับซอสเปรี้ยว เนื้อปลาสดนุ่ม ตกแต่งด้านบนด้วยขนมปังกรอบ รอบๆตกแต่งด้วยเยลลี่และคาร์เวียร์ เป็นเมนูหลากสีสันมากค่ะ แถมรสชาติก็ทำเอาเซอร์ไพรส์มากด้วย ไม่คิดว่ามันจะเข้ากันได้แล้วยังอร่อยขนาดนี้ค่า
จานนี้ไฮไลท์อยู่ที่เยลลี่รอบๆนะคะ โดยสีเขียวเป็นแอปเปิ้ลค่ะ ส่วนนี้น้ำตาลเข้มนั่นเป็นซอสค่ะ
2nd Dish : YUZU COLD CAPELLINI 650.-
เมนูที่หน้าตากับรสชาติไปคนละทางกัน เป็นการนำเส้นCappellini มาปรุงแบบเย็นค่ะ ปกติออฟไม่ค่อยชอบทานเมนูเย็นๆ แบบนี้เท่าไหร่เพราะว่ามันจะชืดๆ ค่ะ แต่จานนี้ไม่ใช่เลย เส้นที่ลวกสุดกำลังดี เข้ากับเนื้อปลาทูน่าสดด้านบนที่ปรุงรสมาจัดจ้าน ตกแต่งด้วยไข่คาร์เวียร์ และโรยต้นหอมซอยเล็กๆ ทำให้จานไม่โล่งเกินไป ส่วนด้านล่างของเส้นจะมีเนื้อปูซ่อนอยู่ด้วยค่ะ เห็นหน้าตาจืดๆ แบบนี้จานนี้มีรสชาติจัดจ้านสุดในคอร์สนี้เลยทีเดียวนะคะ
3rd Dish : VERDE 720.-
จานต่อมา เรามาลองทานปลาทูน่า blue fin แบบย่างระดับ Medium Rare กันบ้างค่ะ การย่างแบบนี้เหมือนกับเป็นการนำชิ้นเนื้อปลาลงไปแนบกับเตาให้ดังฉ่าๆๆ แล้วเอาขึ้นเพื่อให้เนื้อปลาด้านนอกส่งกลิ่นหอมเย้ายวน แต่ด้านในยังคงความสดเอาไว้อยู่ค่ะ เวลาทานให้ทานคู่กับซอสเขียวๆที่เชฟทำเป็นลวดลายทางอยู่ในจานนะคะ ทีเด็ดอยู่ตรงเครื่องเทศที่เชฟนำมาปรุงรสจานนี้ค่ะ เพราะนำเครื่องเทศ 10 ชนิดมาผสมกันเลยทีเดียว แต่ทานแล้วจะไม่ฉุนนะคะ ไม่ต้องกลัว
เห็นเนื้อปลาที่ให้รสนุ่มๆ แล้วยังมีหนังไก่ทอดกรอบ และดอกกะหล่ำบดนำไปทอดกรอบมาเพิ่มความลงตัวของจานนี้อีกด้วยนะคะ
4th Dish : TUNA ROSSINI 1500.-
จานนี้แพงสุดในคอร์สนี้เลยค่ะ เนื่องด้วยวัตถุดิบแต่ละอย่างเป็นตัวเด็ดๆทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น ปลาทูน่า Blue Fin, ฟรัวกราส์ และที่เด็ดสุดเห็นจะเป็นเห็ดทรัฟเฟิลทั้งชิ้นค่ะ ปกติแล้วเห็ดนี่จะแพงมากจนเค้าเอามาใช้กันแค่น้ำมันของเห็ด แต่ครั้งนี้มีโอกาสได้เห็นและได้กินเห็ดทรัฟเฟิลเป็นชิ้นครั้งแรกเลยค่ะ ตัวซอสจะออกสไตล์ Tropical โดยมีส่วนผสมของมะม่วงและเลมอนเป็นหลัก
เวลาทานเนื้อปลาคู่กับตับห่านนี่เข้ากันใช้ได้เลยค่ะ ตอนแรกแอบคิดว่าดูไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่ แต่คงเพราะมีตัวประสานอย่างซอสมาเชื่อมทำให้ไปในทิศทางเดียวกันได้อยู่ค่ะ
รายการ A La Carte ของร้าน
Hokkaido Scallop & Foie Gras Agnolotti 650 บาท
สำหรับเมนู A La Carte ที่ได้ลองนะคะ เมนูแรกก็เป็นหอยเชลล์ฮอกไกโดตัวใหญ่ ย่างแบบกึ่งดิบกึ่งสุก ให้มีความหวานและความสดของหอยอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ซอสสีเหลืองนี่ตัวเพิ่มรสชาติของจานนี้เลยค่ะ มี Carrot cumin + beurre blanc sauce เป็นส่วนประกอบ รสจะออกรสเปรี้ยวนิดๆจากน้ำเลมอน ตกแต่งสีส้มจากเบบี้แครอท ทานนี้อร่อยกันแบบนุ่มนวลกันจริงๆค่ะ
Pick Me Up Tiramisu 220 บาท
สำหรับของหวานแบบ A La Carte นั้นครั้งนี้เป็นการจัดจานทีรามิสุที่ไม่เห็นเคยที่ไหนมาก่อนเลยค่ะ แน่นอนว่าความอร่อยกลมกล่อมของเค้กผสมกาแฟจานนี้ยังมีอยู่ครบ แต่ตัวครัทส์ที่ ผลเบอร์รี่ต่างๆ และไวท์ช็อกโกแลตนี่ทำเอาเหมือนเข้าไปกลางป่าใหญ่แล้วเห็นน้ำตกที่มีไวท์ชอกโกแลตโรยลงมาเลยค่ะ
Choc fondant 280 บาท
เมนูนี้ดูจะเป็นเมนูของหวานที่คุ้นเคยกันดีนะคะ เพราะช็อกแลตลาวาเดี่ยวนี้หาทานไม่ยาก ร้านไหนก็มีกัน แต่การจัดจานร้านนี้แตกต่างและมีรายละเอียดมากกว่าทุกร้านที่ทานมาเลยค่ะ ความอร่อยของจานนี้มีศูนย์รวมอยู่ที่ตัวช็อกโกแลตตรงกลางซึ่งข้างในนุ่ม และเข้มข้นช็อกโกแลตมาก มีไอศกรีมวานิลาอยู่ข้างๆ นอกจากนี้ยังมี Popping รสลิ้นจี่มาเพิ่มความอร่อยอีกด้วยนะคะ ใครกลัวว่าจะยังตัดหวานได้ไม่พอก็ทานคู่กับสตอเบอร์รี่หรือบลูเบอร์รี่สดๆ ได้เลยค่า
บทสรุปจากการทานที่ร้านWhale’s Belly
ครั้งนี้ต้องถือว่าดีใจมากๆ ที่ได้รับเชิญให้มาลองทานฝีมือของเชฟระดับนี้ค่ะ เมนูที่ได้ทานก็แตกต่าง มีกิมมิค และลูกเล่นแพรวพราว การจัดจานที่ลงตัว และรสชาติที่กลมกล่อม โดยดูจากอาหารที่ทานก็รู้ได้เลยค่ะ ว่าเชฟมีความทุ่มเทและเอาใจใส่เมนูแต่ละจานขนาดไหน
Gallery จากร้านWhale’s Belly
ข้อมูลทั่วไปของร้านWhale’s Belly
ที่อยู่ Whale’s Belly Restaurant & Bar : ซอยสุขุมวิท 39 อาคาร ชั้น 2 39 Boulevard Tower A ถนนสุขุมวิท แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110
เบอร์โทรศัพท์ Whale’s Belly Restaurant & Bar :021600333
เว็บไซต์ :http://www.facebook.com/WhalesBelly
วันและเวลาเปิดปิดทำการ :เปิดทุกวัน เวลา 17.30 - 23.00 น.
การเดินทาง Whale’s Belly Restaurant & Bar :ใช้ถนนสุขุมวิท มุ่งหน้าซอยสุขุมวิท 39 แล้วเลี้ยวเข้าซอยจนเจอซอยพร้อมจิตรให้เลี้ยวซ้ายตรงไปประมาณ 200 เมตร จะเห็นอาคาร 39 Boulevard อยู่ด้านขวามือ ร้านเวลส์เบลลี่เรสเตอรองท์แอนด์บาร์ ตั้งอยู่บริเวณชั้น 2 ภายในอาคาร 39 Boulevard
ที่จอดรถ : ลานจอดรถของอาคาร 39 Boulevard
Leave a comment