CCNA1 : Chapter 9 Ethernet
CCNA1 : CCNA Exploration Network Fundamentals – 4.0
Chapter 9 Ethernet
>Overview of EthernetEthernet: Standards and Implementation
– สถาบันวิศวกรไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์นานาชาติ IEEE หรือ The Institute of Electrical and Electronics Engineers ที่มีศูนย์อำนวยการใหญ่อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนความรู้วิทยาการใหม่ๆ ด้านอิเล็กทรอนิกส์
IEEE (The Institute of Electrical and Electronics Engineers) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1963 ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยการรวมตัวของ 2 สถาบัน คือ AIEE และ TRE ซึ่งดำเนินกิจกรรมวิจัยและพัฒนาศาสตร์ด้านการโทรคมนาคม ระบบแสง ไฟฟ้ากำลัง และอื่นๆมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1884
– IEEE กำหนดเครือข่ายเฉพาะที่โดยใช้ตัวเลข 802 ตามด้วยตัวเลขย่อยเป็นรหัสประจำแต่ละมาตรฐาน รูปที่ข้างล่างนี้ เป็นแบบจำลองบางส่วนของมาตรฐานซึ่งเป็นที่รู้จักแพร่หลายได้แก่
• IEEE 802.3 หรืออีเทอร์เนต ใช้โปรโตคอลซีเอสเอ็มเอ/ซีดีในโทโปโลยีแบบบัส
• IEEE 802.4 หรือโทเคนบัส ใช้โปรโตคอลส่งผ่านโทเคนในโทโปโลยีแบบบัส
• IEEE 802.5 หรือโทเคนริง ใช้โปรโตคอลส่งผ่านโทเคนในโทโปโลยีวงแหวน
ข้อกำหนดเพิ่มเติมที่ IEEE สร้างขึ้นในทุกมาตรฐาน 802 คือแยกระดับชั้นเดาทาลิงค์ออกเป็น 2 ส่วนย่อย โดยให้มาตรฐาน 802.2 ซึ่งเรียกว่า แอลแอลซี (LLC : Logical Link Control) เป็นส่วนเชื่อมต่อกับชั้นเน็ตเวิร์ค อินเทอร์เฟสของแอลแอลซีในเครือข่ายแต่ละชนิด (802.3, 802.4 และ 802.5) จะมีรูปแบบเชื่อมต่อกับชั้นเน็ตเวิร์คเช่นเดียวกันหมด
Ethernet: Layer 1 and Layer 2
Logical Link Control: Connecting to the Upper Layers
– LLC (Logical Link Control) เปนเลเยอรยอยที่อยูดานบนของดาตาลิงคเลเยอร ซึ่งจะใหบริการกับโปรโตคอลของเลเยอรบนในการเขาใกลสื่อกลางหรือสายสัญญาณในการรับสงขอมูล ตามมาตรฐาน IEEE 802 แลวจะอนุญาตใหสถาปตยกรรมของ LAN ที่ตางกันสามารถทํางานรวมกันได กลาวคือ โปรโตคอลเลเยอรบนไมจําเปนตองทราบวาฟสิคอลเลเยอรใชสัญญาณประเภทใดในการรับสงขอมูลเพราะ LLC รับผิดชอบแทนในการปรับเฟรมขอมูลใหสามารถสงไปไดในสายสัญญาณประเภทนั้นๆ LLC เปนเลเยอรที่แยกชั้นเครือขาย (Network Layer) ออกจากการเปลี่ยนแปลงบอยๆ ของสถาปัตยกรรมของ LAN โดยโปรโตคอลของเลเยอรสูงกวา ไมจําเปนตองสนใจวาแพ็กเก็ตจะสงผานเครือขายแบบอีเทอรเน็ต โทเคนริง หรือ ATM และไมจําเปนตองรูวาการสงผานขอมูลในชั้นกายภาพจะใชการรับสงขอมูลแบบใด ชั้น LLC จะจัดการเรื่องเหลานี้ใหทั้งหมด
MAC : Getting Data to the Media
– MAC (Media access Control) เปนเลเยอรยอยที่อยูลางสุดของดาตาลิงคเลเยอร ซึ่งจะทําหนาที่เชื่อมตอกับฟสิคอลเลเยอร และรับผิดชอบในการรับสงขอมูลใหสําเร็จและถูกตอง โดยการแบงหนาที่ออกเปนสองสวนคือ การสงขอมูลและการรับขอมูล
– MAC จะทําหนาที่หอหุมขอมูลที่สงผานจากชั้น LLC และทําใหอยูในรูปเฟรมขอมูล ซึ่ง เฟรมขอมูลนี้จะประกอบดวยที่อยู (Addresses) และขอมูลตางๆ ที่จําเปนสําหรับการสงขอมูลใหถึงปลายทาง ชั้น MAC ยังรับผิดชอบในการสรางกลไกสําหรับตรวจสอบขอผิดพลาดของขอมูลใน เฟรมนั้นๆ ในระหวางการรับสงเฟรมดวย นอกจากนี้ MAC ยังตรวจสอบชั้นกายภาพวาชองสัญญาณพรอมสําหรับการสงขอมูลหรือไม ถาพรอมเฟรมจะถูกสงไปยังชั้นกายภาพเพื่อทําการสงไปตามสายสัญญาณตอไป แตถายังไมพรอมชั้น MAC จะรอจนกวาจะวาง แลวคอยทําการสงขอมูลหนาที่สุดทายของชั้น MAC คือ การตรวจสอบสถานภาพของเฟรมที่กําลังสง วามีการชนกันของขอมูลเกิดขึ้นหรือไม ถาหากมีการชนกันเกิดขึ้นก็หยุดการสงขอมูล และเขาสูกลไกการรอดวยชวงเวลาที่เปนเลขสุมเพื่อทําการสงขอมูลใหมอีกครั้ง ซึ่งจะทําเชนนี้ไปเรื่อยๆ จนกวาจะทําการสงขอมูลไดสําเร็จ กระบวนการสงขอมูลที่วานี้เปนทั้งขอดีและขอเสียของอีเทอรเน็ต ขอดี คือ เปนการรับรองโปรโตคอลชั้นที่อยูเหนือกวามั่นใจวาขอมูลจะถูกสงไปถึงปลายทางอยางแนนอน แตในขณะเดียวกันขอเสียก็คือ การสงขอมูลอาจใชเวลานานมากถามีการใชเครือขายมากๆ
Physical Implementations of Ethernet
–
>Ethernet: Communication Through the LAN
Historic Ethernet
Legacy Ethernet
Current Ethernet
Moving to 1 Gbps and Beyond
>Ethernet Frame
Frame: Encapsulating the Packet
– Preamble and Start Frame Delimiter :คือเป็นการส่งข้อมูลที่เป็น “ 0 ” และ“ 1 ” สลับกัน วัตถุประสงค์เพื่อบอกแกผู้รับว่ามีการส่ง packet หรือมีการส่ง frame เข้ามาใน network แล้ว ซึ่งจะมีใช้งานทั้งในEthernet และ IEEE 802.3 สำหรับ Preamble หากเป็น Ethernet frame แล้วมันจะมี 8 byte ทั้งนี้เนื่องมันได้รวมเอา byte พิเศษคือ the Start-of-Frame field เข้าไปด้วย แต่ในกรณี n the IEEE 802.3 จะแยก field นี้ออกมาต่างหาก
– Destination and Source Addresses ใช้สำหรับการอกตำแหน่งของสถานีรับและส่ง มีขนาด 6 bytes โดยที่ 3 bytes แรกของ addresses field ถูกกำหนดโดย IEEE เพื่อเป็นใช้ vendor-dependent basis ขณะที่ 3 bytes หลังถูกกำหนดโดยผู้ผลิต( vendor ) ของ Ethernet หรือ IEEE 802.3. source address จะเป็น unicast ( คือต้องเป็นของผู้ใช้งานรายเดียวเท่านั้น ) address เสมอ ขณะที่ destination address สามารถที่จะเป็นแบบ unicast, multicast (group), or broadcast ก็ได้
– Length : (2 bytes in length) แสดงจำนวนของ bytes ของข้อมูล ซึ่งเป็น field ที่มาตามหลังfiled นี้.
– Type (Ethernet ) เป็น field ที่กำหนดการทำงานของในการรับข้อมูลหลังจากที่ Ethernet ได้ทำการประมวลผล packet นั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว
– Data (Ethernet) หลังจากที่ physical-layer และ link-layer ได้ประมวลผลจนสมบูรณ์แล้ว ข้อมูลที่ถูกบรรจุอยู่ใน frame นี้จะถูกส่งขึ้นไปยัง upper-layer protocol เพื่อทำหน้าที่ในการตรวจสอบชนิดของ field ใน Ethernet version 2 ไม่มีการกำหนดเกี่ยว padding byte แม้ว่าข้อมูลจะไม่เพียงพอที่จะบรรจุบงใน frame ก็ตาม โดยปกติแล้วความยาวของ data filed จะเริ่มตั้งแต่ 46 bytes
– Data (IEEE 802.3 หลังจากที่ physical-layer และ link-layer ได้ประมวลผลจนสมบูรณ์แล้ว ข้อมูลที่ถูกบรรจุอยู่ใน frame นี้จะถูกส่งขึ้นไปยัง upper-layer protocol ซึ่งจะต้องถูกกำตรวจสอบว่ามันเป็นส่วน data portion ของ frame ที่ถูกต้องหรือ ถ้า data ใน frame นี้ไม่ครบถ้วนเพียงพอสำหรับการบรรจุลงใน frame แล้วจะต้องมีขนาด 46-bytes จะมีการเพิ่มpadding bytes เข้าไปเพื่อให้ข้อมูลใน frame มีอย่างน้อย 46-bytes
– Frame Check Sequence (FCS) เป็น cyclic redundancy check (CRC) ขนาด 4 bytes ซึ่งถูกคำนวณมาจากด้านส่งและถูกส่งรวมมาใน frame เพื่อให้ด้านรับทำการคำนวณเพื่อเปรียบเทียบกันอีกครั้ง ทั้งนี้เพื่อตรวจสอบว่า มีการผิดพลาดขึ้นใน frame หรือไม่
Ethernet MAC Address
– Mac Address คือ เป็นเเอดเดรสที่มาพร้อมกับการ์ด LAN ซึ่งเป็นเเอดเดรสที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และเป็นเเอดเดรสที่ไม่มีโอกาสซ้ำกันไม่ว่าจะอยู่ในเครือข่ายใดก็ตาม เนื่องจากเป็นเเอดเดรสที่ถูกบรรจุอยู่บนไมโครชิป และถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้วจากบริษัทผู้ผลิตการ์ด LAN
– MAC มีขนาด 48 บิต นิยมเขียนด้วยเลขฐานสิบหกจำนวน 12 ตัว โดยเลขฐานสิบหก 6 ตัวแรกจะถูกควบคุมการใช้งานโดยองค์กร IEEE เป็นการบอกตัวตของบริษัทผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่าย จึงหมายถึง
>Ethernet MAC
MAC in Ethernet
CSMA/CD: The Process
– โปรโตคอล CSMA/CD (Carrier Sense Multiple Access With Collision Detection) ซึ่งเปนโปรโตคอลที่รับสงขอมูลแบบฮาลฟดูเพล็กซ (Half Duplex) โปรโตคอลนี้ใชสําหรับการเขาใชสื่อกลางที่แชรกันในการสงสัญญาณระหวางโหนดในเครือขาย ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ เมื่อมีโหนดใดๆ ตองการที่จะสงขอมูลจะตองคอยฟงกอน (Carrier Sense) วามีโหนดอื่นกําลังสงขอมูลอยูหรือไม ถามีใหรอจนกวาโหนดนั้นสงขอมูลเสร็จกอน แลวคอยเริ่มสงขอมูล และในขณะสงขอมูลอยู่นั้นตองตรวจสอบวามีการชนกันของขอมูลเกิดขึ้นหรือไม (Collision Detection) ถามีการชนกันของขอมูลเกิดขึ้นใหหยุดการสงขอมูลทันที แลวคอยเริ่มกระบวนการสงขอมูลใหมอีกครั้ง
Ethernet Timing
-การชนกันของขอมูล (Collision) ในเครือขายอีเทอรเน็ตนั้นเปนเรื่องธรรมดา แตระบบ MAC มีกลไกในการตรวจเช็คว่ามีการชนกันของขอมูล (Collision Detection) วาเกิดขึ้นหรือไม เพื่อใหการตรวจเช็คการชนกันของขอมูลเปนไปได แตละสถานที่ตองสามารถโตตอบกันไดภายในเวลาที่จํากัด คาดีเลย คือ เวลาในการเดินทางไปกลับของสัญญาณ (Round-Trip Time) ระหวางสถานีสงและสถานีรับ
– มาตรฐานอีเทอรเน็ตกําหนดใหมีคาความลาชาของสัญญาณหรือดีเลยไดไมเกิน 51.2 ns (10-6 วินาที) สําหรับอีเทอรเน็ตที่ความเร็ว 10 Mbps และ 5.12 ns สําหรับอีเทอรเน็ตที่ความเร็ว 100 Mbps อุปกรณเครือขายอีเทอรเน็ตทุกชนิด รวมทั้งสายสัญญาณจะมีคาดีเลยที่แตกตางกันไป ดังนั้นจึงจําเปนที่ตองคํานวณคาดีเลยของเครือขายกอนที่จะติดตั้ง ไมเชนนั้นถาหากคาดีเลยของเครือขายมีคามากกวาคาที่กําหนดใหไวก็อาจทําใหการสงขอมูลลมเหลว หรือเกิดขอผิดพลาดขึ้นได
Interframe Spacing and Backoff
>Ethernet Physical Layer
10 Mbps – 10Base-T Ethernet
– 10BASE5 using Thicknet coaxial cable : เป็น Thick Ethernet รุ่นแรกที่ได้ถูกพัฒนาขึ้นมา ใช้โทโปโลยีแบบบัส ซึ่งจะมีอุปกรณ์ในการรับส่งสัญญาณแบบติดตั้งภายนอก เชื่อมต่อกับสายโคแอกเซียลแบบหนา โดบใช้ tap
– 10BASE2 using Thinnet coaxial cable : เป็น Thin Ethernet ใช้โทโปโลยีแบบบัส ซึ่งสามารถใช้ได้กับอุปกรณ์รับส่งสัญญาณแบบติดตั้งภายในและภายนอก ชื่อมต่อกับสายโคแอกเซียลแบบบาง
– 10BASE-T using Cat3/Cat5 unshielded twisted-pair cable : เป็นระบบเครือข่าย Ethernet ที่ใช้สาย Twisted Pair เป็นสื่อในการส่งสัญญาณ 10 Base T และจัดได้ว่าเป็นเครือข่ายที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นระบบเครือข่ายที่ติดตั้งได้ง่ายและจำนวนสถานีที่ใช้งานจะต่อได้มากกว่า ในความจริงแล้ว 10 Base T นั้นไม่ได้จัดอยู่ในมาตรฐาน Ethernet โดยตรง แต่เป็นเครือข่ายที่ผสมผสานระหว่าง Ethernet และ Star เ ข้าด้วยกัน ซึ่งจะมีอุปกรณ์ ตัวกลางที่เรียกว่า Concentrator หรือเรียกกันทั่วไปว่า HUB ที่คอยรับสัญญาณระหว่าง Workstation และ File Server โดยในกรณีที่มีสายจากสถานีใดเสียหาย ก็จะไม่มีผลกระทบต่อระบบ แต่ถ้า HUB มีปัญหาทั้งระบบก็จะใช้งานไม่ได้ 1 0 Base T นั้นจะใช้สายชนิด UTP (Unshield Twisted Pair) ส่วนหัวต่อนั้นจะเป็นชนิด RJ-45 และความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงมากถึง 100 Mbps
100 Mbps – Fast Ethernet
– Fast Ethernet เป็นระบบเครือข่าย Ethernet ที่จัดอยู่ในมาตรฐาน IEEE 802.3u เป็นระบบเครือข่ายที่มีความเร็วสูงกว่าระบบ Ethernet แบบ 10 Mbps ทั่วไปถึง 10 เท่า บนสายสัญญาณทำจากสายทองแดงและสาย ใยแก้วนำแสง มีวิธีการเข้ารหัสสัญญาณ และมีย่านความถี่ในการทำงานสูงกว่า อย่างไรก็ดี Fast Ethernet ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการ เช่นเดียวกับ 10 Mbps Ethernet ต่อไปนี้เป็น คุณลักษณะการทำงานโดยทั่วไปของ Fast Ethernet
– FAST ETHERNET เป็นเครือข่ายที่มีขนาดเล็กมาก โดยมีขนาดของ Network Diameter เพียง 205 เมตร เท่านั้น ถ้าหากใช้สาย ทองแดง แต่ถ้าเป็น Fiber Optic ขนาดของเครือข่ายจะมีขนาด 320 เมตร เมื่อเทียบกับ 10 Mbps Ethernet ซึ่งมีขนาด 500 เมตร
– 100BASE-TX using Cat5 or later UTP : 100BASE-TX ถูกออกแบบให้ใช้กับงานที่ต้องใช้สายUTP CATEGORY หรือสาย Fiber Optic ใช้วิธีการเข้ารหัสแบบ 4B/5B, ส่วนใหญ่ใช้โทโปโลยีแบบสตาร์
– 100BASE-FX using fiber-optic cable : 100BASE-FX ถูกออกแบบให้ใช้กับงานที่ต้องใช้สาย Fiber Optic หรือระบบ FDDI Technology สำหรับงานรับส่งข้อมูลผ่าน Back Bone ความเร็วสูง หรือเพิ่มระยะทางการเชื่อมต่อให้ยาวกว่าเดิม
1000 Mbps – Gigabit Ethernet
– Gigabit Ethernet (IEEE802.3z)เป็นมาตรฐานใหม่ของเทคโนโลยีเครือข่ายท้องถิ่น (LAN-Local Area-Network) ที่พัฒนามาจาก เครือข่ายแบบ Ethernet แบบเก่าที่มีความเร็ว 10 Mbps ให้สามารถรับส่งข้อมูลได้ที่ระดับความเร็ว 1 Gbps ทั้งนี้เทคโนโลยีนี้ ยังคงใช้กลไก CSMS/CD ในการร่วมใช้สื่อเหมือนEthernet แบบเก่า หากแต่มีการพัฒนาและดัดแปลงให้สามารถรองรับความเร็วในระดับ 1 Gbps ได้
– Gigabit Ethernet เป็นส่วนเพิ่มขยายจาก 10 Mbps และ 100 Mbps Ethernet (มาตราฐาน IEEE 802.3 และ IEEE802.3u ตามลำดับ) โดยที่มันยังคงความเข้ากันได้กับมาตราฐานแบบเก่าอย่าง100% Gigabit Ethernet ยังสนับสนุนการทำงานใน mode full-duplex โดยจะเป็นการทำงานในการเชื่อมต่อระหว่าง Switch กับ Switch และระหว่าง Switch กับ End Station ส่วนการเชื่อมต่อผ่าน Repeater, Hub ซึ่งจะเป็นลักษณะของShared-media (ซึ่งใช้กลไก CSMA/CD) Gigabit Ethernet จะทำงานใน mode Half-duplex ซึ่งสามารถจะใช้สายสัญญาณได้ทั้งสายทองแดงและเส้นใยแก้วนำแสง
10 Gbps – 10 Gigabit Ethernet
– สนับสนุนมาตรฐานการทำงานของ ระบบ Ethernet ที่ความเร็ว 10 Gigabit ด้วยต้นทุนค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่า 1 Gigabit Ethernet 2-3 เท่า
– เป็นระบบที่ยังใช้มาตรฐานของ Frame แบบ 802.3
– สามารถเข้ากันได้กับเครือข่าย Ethernet มาตรฐาน 802.3x ต่างๆ
– ยังคงไว้ซึ่งขนาดของ Frame ขั้นต่ำสุดและขั้นสูงสุดตามมาตรฐาน IEEE 802.3 ในปัจจุบัน
– กำหนดให้มีอุปกรณ์อินเตอร์เฟสกับเครือข่ายเป็นการเฉพาะเจาะจง
– สื่อสารข้อมูลแบบ Full Duplex เท่านั้น
– สามารถสนับสนุนกับการเชื่อมต่อระบบ LAN ที่มีการเชื่อมต่อในรูปแบบ Star
>Hubs and Switches
Legacy Ethernet: Using Hubs
– ฮับ (Hub) หรือเรียกวา รีพีทเตอร (Repeater) คืออุปกรณที่ใชเชื่อมตอกลุมของคอมพิวเตอร ฮับมีหนาที่รับสงเฟรมขอมูลทุกเฟรมที่ไดรับจากพอรตใดพอรตหนึ่งไปยังทุกๆ พอรตที่เหลือ คอมพิวเตอรที่เชื่อมตอเขากับฮับ จะแชรแบนดวิธหรืออัตราขอมูลของเครือขาย
– ขอแตกตางระหวางฮับก็เปนจํานวณพอรต สายสัญญาณที่ใช ประเภทของเครือขาย และอัตราขอมูลที่ฮับรองรับได้
– Scalability : ฮับจะแชร์แบนด์วิทที่ถูกจำกัดไว้ให้ผู้ใช้ ในขณะที่้สวิตช์จะจัดหาแบนด์วิทที่สามารถใช้ได้อย่างเต็มที่ให้กับแต่ละโฮส
– Latency : คือ จำนวนของเวลาที่แพกเกตใช้ในการไปถึงปลายทาง ยิ่งมีโหนดระหว่างทางเพิ่มมากขึ้นก็ยิ่งมี Latency เพิ่มมากขึ้น
– Network Failure : อาจเกิดขึ้นเมื่้อความเร็วไม่สอดคล้องกันเช่น อุปกรณ์ที่มี100 Mbps เชื่อมต่อไปยัง 10 Mbps hub แต่สวิตช์จะสามารถตั้งค่าในการจัดการความแตกต่างของความเร็วได้
Ethernet: Using Switches
– สาเหตุหลักในการเพิ่ม throughput ของเครือข่ายเมื่อโหนดเชื่อมต่อกันผ่านสวิตช์
1. Dedicated bandwidth to each port
2. Collision-free environment
3. Full-duplex operation
Switches: Selective Forwarding
– Learning : คอมพิวเตอรโหนด A ตองการสงขอมูลไปยังโหนด B ซึ่ง ณ ขณะนี้ สวิตชยังไมมีรายละเอียดขอมูลใดๆ ที่บันทึกไวในตาราง ดังนั้น จึงจําเปนตองเรียนรูตัวตนของแตละโหนดเสียกอน โดยสวิตชจะนําแพ็กเก็ตขอมูลจากโหนด A เพื่อนําไปอานวา MAC Address จากนั้นก็ทําการจัดเก็บรายละเอียดขอมูลไวในตาราง (Lookup Table) โดยบันทึกรายละเอียดวาเซกเมนต X มีโหนด A อยู และ ณ ขณะนี้สวิตชรูตําแหนงที่อยูหรือตัวตนของโหนด A แลว ซึ่งขั้นตอนนี้เรียกวาการ Learning หรือการเรียนรูนั่นเอง
– Flooding : แตขณะนั้นสวิตชไมรูวาโหนด B อยู ณ ที่ใดบนเครือขาย จึงทําการสงแพ็กเก็ตขอมูลไปยังทุกเซกเมนตของเครือขาย (ยกเวนเซกเมนต X) ขั้นตอนของการสงแพ็กเก็ตออกไปยังเซกเมนตทั้งหมดเพื่อหาตัวตนของโหนดที่ตองการ เราเรียกขั้นตอนนี้วาการ Flooding
– Forwarding : และหากแพ็กเก็ตลําดับถัดไปจากโหนด A ตองการสงขอมูลไปยังโหนด B อีกครั้ง สวิตชก็จะสามารถดําเนินการสงขอมูลจากโหนด A ไปยังโหนด B ไดทันที เนื่องจากรูตําแหนงและเสนทางของโหนดทั้งสองแลว ขึ้นตอนนี้เรียกวาการ Forwarding
– Filtering : เมื่อโหนด C มีความตองการสงขอมูลไปยังโหนด A และเมื่อแพ็กเก็ตขอมูลนั้นไดเดินทางมาถึงสวิตช สวิตชก็จะทําการตรวจสอบ MAC Address ของโหนด C และทําการบันทึกรายละเอียดตําแหนงเพิ่มเขาไปในตาราง ในขณะนั้นสวิตชไดมีรายละเอียดขอมูลของแอดเดรสโหนด A ที่ไดบันทึกอยูกอนแลว และมีการตรวจสอบพิจารณาแลวพบวาทั้งสองโหนดนั้นอยูบนเซกเมนตเดียวกัน ดังนั้นจึงไมจําเปนตองสงขอมูลชุดนี้กระจายออกไปยังเซกเมนตอื่นๆ ซึ่งเปนการกลั่นกรองขอมูลนั่นเอง ขั้นตอนนี้เรียกวาการ Filtering
– Aging : จากขั้นตอนการ Learning และการ Flooding ของสวิตช จะเห็นไดวาจําเปนตองมีการบันทึกรายละเอียข้อมูลตําแหนงไวในตาราง ซึ่งการบันทึกนั้นจําเปนตองใชหนวยความจํา ดังนั้นการใชงานหนวยความจําที่มีอยูอยางจํากัดใหมีประสิทธิภาพ จึงจําเปนตองมีการขจัดขอมูลเกาออกไป โดยสวิตชจะใชเทคนิคที่เรียกวา Aging กลาวคือเมื่อมีการบันทึกตําแหนงขอมูลในตาราง ก็จะมีการบันทึกหรืออัปเดตเวลา (Timestamp) ทุกครั้ง สวนการพิจารณานําออก จะมีเวลาที่ตั้งไว โดยหากครบเวลาที่กําหนดและขอมูลในตารางใดที่ไมมีกิจกรรมเกิดขึ้นอีกเลย ก็จะถูกพิจารณานําออกไปจากหนวยความจํา เพื่อใหมีพื้นที่วางพอสําหรับบันทึกขอมูลชุดใหมตอไป
>Address Resolution Protocol (ARP)
Resolving IPv4 Addresses to MAC Addresses
– โพรโตคอล ARP ทำหน้าที่ในการจับคู่ระหว่างไอพีแอดเดรส ซึ่งเป็นแอดเดรสทางลอจิคัลกับฮาร์ดแวร์แอดเดรสซึ่งเป็นแอดเดรสทางฟิสิคัล
– แนวทางในการแปลงหมายเลข IP address เป็นหมายเลข Hardware address
1. อุปกรณ์สื่อสาร หรือโฮสต์ต้นทาง A ส่งเฟรมที่มีหน้าที่เฉพาะกิจ ARP request ในการสืบหาหมายเลขฮาร์ดแวร์ของโฮสต์ปลายทาง B ออกไป ภายในเฟรมจะระบุหมายเลข IP address ของโฮสต์ปลายทาง B ที่ต้องการติดต่อด้วย
2.เฟรมที่ส่งออกในขั้นตอนนี้จะต้องเป็นเฟรมประเภทบอร์ดคาสต์เพราะในเวลานี้โฮสต์ A ยังไม่ทราบหมายเลขฮาร์ดแวร์แอดเดรสของโฮสต์ B
3.โฮสต์ต่าง ๆ ในระบบจะต้องอ่าน และตรวจสอบเฟรมดังกล่าวว่า หมายเลข IP address ที่บรรจุอยู่เป็นของตนหรือไม่แน่นอนว่า จะต้องมีเพียงโฮสต์ B เท่านี้ที่จะตอบรับกลับ
4.โฮสต์ Bตอบรับกลับโดยการส่งเฟรมที่บรรจุหมายเลขฮาร์ดแวร์ของตนลงไป ARP reply ขั้นตอนนี้เฟรมที่ส่งออก ไม่จำเป็นต้องเป้นเฟรมบอร์ดคาสต์อีกต่อไป
5.โฮสต์ B สามารถกำหนดหมายเลขฮาร์ดแวร์แอดเดรสปลายทาง เป็นแอดเดรสของโฮสต์ A ได้เลย ทันทีที่สถานี A ได้รับเฟรมตอบรับดังกล่าวก็สามารถทราบถึงหมายเลขฮาร์ดแวร์ของโฮสต์ B ได้
Maintaining a Cache of Mappings
– จะเห็นว่ากระบวนการ ARP ต้องมีการใช้แบนด์วิดธ์ของช่องสัญญาณไปส่วนหนึ่งเพื่อให้การสูญเสียแบนด์วิดธ์ในส่วนนี้มีปริมาณน้อยที่สุด โฮสต์แต่ละตัวมักจะมีการเก็บคู่ IP address กับฮาร์ดแวร์แอดเดรสที่ทราบไว้ในแคช (cache) ของตนเอง
เมื่อโฮสต์มี ARP cache แล้ว การส่งข้อมูลของผู้ใช้บริการแต่ละครั้งก็ไม่ต้องทำกระบวนการ ARP ใหม่อีก
– ข้อมูลที่เก็บในแคช จะถูกลบออกหลังจากเก็บไว้ใช้งานระยะหนึ่งเพราะบางสถานการณ์คู่ IP address กับฮาร์ดแวร์แอดเดรสอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ เช่น กรณีที่ Ethernet card เสียหาย และ ได้รับการเปลี่ยนใหม่ หมายเลขอีเธอร์เน็ตแอดเดรส หรือ ฮาร์ดแวร์แอดเดรสย่อมเปลี่ยนไปด้วย
แหล่งความรู้เพิ่มเติม
– http://kampol.htc.ac.th/web1/subject/com_network/sheet/chap482/chap8Ethernet.pd
– http://www.com3sign.com/jutamas/ieee.php
– http://www.geocities.com/jutharat_suksai/4.htm
– http://cp101km.swu.ac.th/index.php/51102010027
– http://www.dmsc.moph.go.th/webroot/techno2/hotit/gigabit/indexten.htm
– http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet1/network/gigabit/index.html
– http://cp101km.swu.ac.th/index.php/51102010637_ethernet
– http://webserv.kmitl.ac.th/~s6066504/basicethernet.html
Leave a comment