Introduction to Law :ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฏหมายทั่วไป #1

Introduction to Law#1

  • ความสำคัญของกฎหมาย

ข้อสันนิษฐาน – > ทุกคนต้องรู้กฏหมาย โดยจะกล่าวได้ว่า “บุคคลจะแก้ตัวว่าไม่รู้กฏหมายเพื่อให้พ้นความรับผิดไม่ได้” ซึ่งเป็นหลักกฏหมายอาญามาตรา 64

สภาพความผิด

1. ความผิดในตัวเอง (Mala in Se) : ความผิดร้ายแรงแก้ตัวไม่ได้ เช่น ฆ่าคน ลักทรัพย์ ข่มขืน วางเพลิง กบฏ

2. ความที่กฏหมายห้ามกระทำ (Mala Prohibit) : เป็นความผิดเฉพาะเรื่อง เฉพาะกรณี เช่น ห้ามขับรถจักรยานยนต์โดยไม่ใส่หมวก

หลักของ The Rule of Law : ผู้บริหารประเทศต้องดำเนินการปกครองโดยอาศัยบทกฏหมายที่บัญญัติให้อำนาจไว้เท่านั้น

กฏหมายเป็นเครื่องมือของรัฐในการบริหารประเทศ

ลักษณะของอำนาจอธิปไตย : เด็ดขาด, ถาวร, ใช้ได้ทั่วไป, แบ่งแยกไม่ได้

องค์ประกอบของรัฐ : ราษฏร, อาณาเขต, อำนาจอธิปไตย

มนุษย์ได้อยู่ร่วมกันโดยอาศัยเหตุผล ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ปฏิบัติต่อกันจนเกิดเป็นนิสัยแล้วปฏิบัติสืบต่อกันเป็นเวลานาน ด้วยความยอมรับโดยทั่วไป กลายเป็นธรรมเนียบ และจารีตประเพณี และมีคนกลางเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นผู้มีอำนาจชี้ขาดตัดสินคดี ต่อมาได้มีการบัญญัติกฏหมายขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อให้แน่นอนชัดเจน (Enacted Law)

Social Contract (สัญญาประชาคม) : กฏหมายเกิดขึ้นเพราะสัญญาประชาคมที่มอบอำนาจหน้าที่ให้แก่รัฐเป็นผู้ปกครองและรักษาความเรียบร้อยของสังคม โดยกฏหมายจะต้องเคารพศักดิ์ศรีของมนุษย์รวมทั้งทรัพย์สิน โดยรัฐจะละเมิดได้

General Will (เจตนารมณ์ทั่วไป) : เจตนารมณ์ร่วมกันและเป็นเครื่องแสดงออกซึ่งความคิดเห็นและความต้องการของสังคมส่วนรวม ดังนั้นการสละเสรีภาพตามธรรมชาติอันไม่มีจำกัด และยอมอยู่ร่วมกันโดยมีเสรีภาพจำกัดตามกฏหมายก็คือการยอมรับปฏิบัติตาม General Will

Separation of power and Balance of power : หลักการถ่วงดุลอำนาจรัฐ โดยต้องเป็นอิสระซึ่งกันและกัน ในการปกครองประเทศแบ่งอำนาจออกได้เป็น อำนาจนิติบัญญัติ, อำนาจบริหาร, อำนาจตุลาการ

  • องค์ประกอบของการเป็นกฏหมาย

1. ต้องมาจากรัฐธาธิปัตย์ -> รัฐ คือผู้มีอำนาจในการออกกฏหมาย ไม่ว่าจะออกมาจากคณะปฏิวัติก็ตาม

2. ใช้บังคับแก่บุคคลทั่วไป -> ไม่ใช่เพียงกลุ่มคน

3. ต้องใช้เสมอไป -> จะไม่มีการใช้ก็ต่อเมื่อกฏหมายมีการยกเลิกเท่านั้น

4. ทุกคนต้องปฏิบัติตาม

5. มีสภาพบังคับ โทษทางอาญา = ประหาร จำคุก กักขัง ปรับ ริบ, โทษทางแพ่ง = ชำระหนี้, เสียค่าตอบแทน, เบี้ยปรับ

  • กฏหมายที่ดีต้องสอดคล้องกับกฏเกณฑ์ทางสังคม โดยต้องไม่ขัดแย้งกับ ศาสนา ศีลธรรม และประเพณี
  • ที่มาของกฏหมาย

1. รัฐธาธิปัตย์

2. หลักคำสอนของศาสนา

3. ศีลธรรม

4. จารีตประเพณี

5. ความยุติธรรม

6. ความเห็นของนักนิติศาสตร์

7. คำพิพากษาของศาล

  • สิทธิ

สิทธิ คือ อำนาจหรือประโยชน์ที่กฏหมายรองรับและคุ้มครองให้

กรรมสิทธิในทรัพย์

1. สิทธิใช้สอย

2. สิทธิจำหน่าย

3. สิทธิได้ดอกผล

4. สิทธิตามเอาคืน

5. สิทธิขัดขวาง

องค์ประกอบแห่งสิทธิ

1. ผู้ทรงสิทธิ -> ต้องเป็นบุคคลเท่านั้น คือต้องมีสภาพความเป็นคน คือคลอดออกมาแล้ว และไม่ถึงแก่ความตาย

2. เนื้อหาแห่งสิทธิ -> เกี่ยวกับทำยังไงให้ได้สิทธิมา ทำยังไงให้เสียสิทธิ เป็นเรื่องของการกระทำ หรืองดเว้นการกระทำ

3. วัตถุแห่งสิทธิ

§ บุคคลสิทธิ -> สิทธิเรียกร้องเฉพาะตัว เช่นเจ้าหนี้-ลูกหนี้

§ ทรัพยสิทธิ -> สิทธิที่ตกอยู่กับตัวทรัพย์ สามารถอ้างยันได้กับบุคคลทั่วไป

  • การใช้ – ตีความกฏหมาย

ขอบเขตของการใช้กฏหมายคือใช้ภายใต้ราชอาณาจักร แต่ใช้กับทุกคนที่มาอยู่ภายใต้ราชอาณาจักร ไม่ว่าจะเป็นสัญชาติใดก็ตาม ยกเว้นบุคคลบางประเภทที่มีข้อตกลงหรือกฏหมายพิเศษโดยเฉพาะเรื่องระหว่างประเทศ เช่น ทูต บริวารของทูต เจ้าหน้าที่ระหว่างประเทศ ประมุขของต่างประเทศ ซึ่งจะมีหลักการคุ้มกันทางการทูตอยู่

ถ้าใช้แล้วกฏหมายมีปัญหา(มีความคลุมเครือ หรือสามารถตีความได้สองแนว) ต้องตีความ โดยต้องตีความตามหลัก

1. กฏหมายอาญา -> จะต้องตีความเคร่งครัดตามตัวอักษร จะตีความขยายความเป็นโทษกับเค้าไม่ได้ กฎหมายว่ายังไงว่าอย่างนั้น เป็นคุณยกประโยชน์ให้ เป็นโทษนี่ทำไม่ได้

2. กฏหมายแพ่ง -> จะตีความตามลำดับดังนี้ โดยต้องตีความตามตัวอักษรก่อน ถ้าตีความตามตัวอักษรแล้วยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง ให้ตีความตามเจตนารมณ์

  • ศักด์ของกฏหมาย

ทำไมต้องมีการจัดลำดับศักดิ์ของกฏหมาย -> เพราะว่ากฏหมายแต่ละลำดับนั้นมีชั้นไม่เท่ากัน คือ มีชั้นสูง , ต่ำ

การดูว่ากฏหมายนั้นเป็นชั้นสูงหรือต่ำ -> ดูว่ากฏหมายนั้นออกโดยอาศัยอำนาจของอะไร

ลำดับศักดิ์ของกฏหมาย

1. กฏหมายรัฐธรรมนูญ

2. พระราชบัญญัติ, พระราชกำหนด, ประมวลกฏหมาย

3. พระราชกฤษฎีกา

4. กฎกระทรวง -> ออกตามความใจพระราชบัญญัติ ดังนั้น จะขัดต่อกฎหมายที่มีลำดับสูงกว่าไม่ได้

5. เทศบัญญัติ

6. ข้อบังคับ, ระเบียบ, คำสั่ง, ประกาศส่วนราชการ

  • ระบบกฏหมาย

1. ระบบประมวลกฏหมาย (Civil Law)

มีการบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร

เริ่มตั้งแต่กฏหมาย 12 โต๊ะ

2. ระบบจารีตประเพณี

ถือเอาหลักธรรมเนียมปฏิบัติที่ทำมายาวนานจนทุกคนยอมรับมาเป็นจารีต

  • ประเภทของกฎหมาย

1. กฎหมายเอกชน

เป็นกฏหมายว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกัน

ไม่มีบทเด็ดขาด สามารถตกลงแตกต่างจากที่กฏหมายว่าไว้ก็ได้ถ้าไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย

ไม่มีโทษ

ตัวอย่างเช่น กฏหมายแพ่ง, กฏหมายพาณิชย์, พระราชบัญญัติต่างๆ ที่เกียวกับเอกชน เช่นพรบ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา, พรบ.ว่าด้วยข้อสัญญาไม่เป็นธรรม

2. กฏหมายมหาชน

เป็นกฏหมายว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน

รัฐเข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะที่เป็นคนกลาง มาควบคุมความสงบเรียบร้อย ไม่ให้เกิดความโกลาหล

มีโทษ ถ้าไม่ปฏิบัติตาม

ตัวอย่างเช่น กฏหมายอาญา, กฏหมายปกครอง, รัฐธรรมนูญ, กฏหมายวิธีพิจารณาความ เช่นวิธีพิจารณาความแพ่ง, วิธีพิจารณาความอาญา

3. กฏหมายระหว่างประเทศ

เป็นกฏหมายว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ

สิ่งที่เป็นกฏหมายระหว่างประเทศมาจากข้อตกลงร่วมกันระหว่างองค์กร ระหว่างประเทศ หรือระหว่างสมาชิกขององค์กร

ไม่มีสภาพบังคับ ไม่มีโทษ อาจจะมีเพียงการ Boycott กันเอง

กฏหมายสัญชาติถือเป็นกฏหมายภายใน ไม่ถือว่าเป็นกฏหมายระหว่างประเทศ

กฏหมายระหว่างประเทศแบ่งได้ออกเป็น

1. แผนกคดีบุคคล -> เป็นเรื่องของบุคคลของรัฐนึงกับบุคคลของอีกรัฐนึง เช่น เรื่องของการติดต่อค้าขาย หรือการสมรส

2. แผนกคดีเมือง -> เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับรัฐต่อรัฐ ว่าด้วยอำนาจรัฐ, ดินแดนของรัฐ, การทำสนธิสัญญา, อำนาจของผู้แทน หรือ ระเบียบการทำสงคราม

3. แผนกคดีอาญา -> เป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลของรัฐหนึ่งที่มีต่อรัฐหนึ่ง เช่นการส่งผู้ร้ายข้ามแดน

Download Introduction to Law_1.pdf

Leave a comment